บทที่ 1 คืนแห่งความเร่าร้อน
ณ ห้องสวีทของโรงแรมแห่งหนึ่ง
ร้อน ร้อนจนจะระเบิดอยู่แล้ว!
มือของนารากระชากเสื้อผ้าบนตัวอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายถูกขับเคลื่อนด้วยฤทธิ์ยาที่ไม่รู้จัก จนปลายนิ้วเผลอไปสัมผัสโดนชายที่อยู่ข้างๆ
เธอราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ได้ สองแขนโอบรอบลำคอของเขาอย่างแรง ดึงเขาเข้ามาใกล้อย่างดุดัน
“อื้อ…”
ในวินาทีที่ริมฝีปากสัมผัสกัน ความเย็นสบายอย่างน่าประหลาดก็ราวกับจะแทรกซึมผ่านความร้อนรุ่มของเธอ นาราไขว่คว้าความเย็นสบายนั้นอย่างตะกละตะกลาม จูบอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
รสชาติเข้มข้นของไวน์ผสมผสานอยู่ระหว่างริมฝีปากและฟันของคนทั้งสอง ชายคนนั้นเมาแอ๋เป็นดินโคลน แต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงยั่วยวนอันบ้าคลั่งนี้ได้ พลิกตัวขึ้นมาทาบทับเธอไว้ข้างใต้
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง นาราพบว่าตัวเองนอนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ข้างกายว่างเปล่า มีเพียงเสื้อสูทกับนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งตกอยู่บนพรม บอกเล่าเรื่องราวความบ้าคลั่งเมื่อคืนนี้อย่างเงียบงัน
สามวันต่อมา ณ บ้านตระกูลเหลืองอังกูร
“ไปฉลองวันเกิดให้เพื่อนสนิทแล้วกลับมาในสภาพนี้เนี่ยนะ?! แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปคบค้าสมาคมกับคนไม่ดีพวกนั้น ทำไมไม่เคยฟังเลย!”
สมหญิงทำหน้าเคร่งขรึม ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “ตั้งแต่เล็กจนโต ลูกอยากได้อะไรอยากทำอะไรแม่ไม่เคยห้าม คิดว่าลูกเป็นเด็กดีรู้จักคิด แต่ไม่นึกเลยว่า นารา ลูกทำให้แม่ผิดหวังจริงๆ”
คุณแม่สมหญิงนั่งอยู่บนโซฟาหนังแท้ในห้องนั่งเล่น บนโต๊ะกาแฟตรงหน้ามีรูปถ่ายกองหนึ่งวางอยู่
เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในรูปชัดๆ นาราก็แทบจะหมดสติไป
ในรูปเป็นผู้หญิงที่เปลือยเปล่า ซึ่งก็คือเธอ…
และฉากหลังคือห้องในโรงแรมนั้น
“ได้ยังไง…”
สีหน้าของนาราซีดเผือดในทันใด ในหัวขาวโพลนไปหมด
“แม่คะ หนู… หนูไม่ได้…”
“นารา ยังมีหน้าอยู่ไหม? บ้านเรายังไม่ถึงกับจนตรอกขนาดนั้นนะ? ถึงกับต้องไปทำงานในที่แบบนั้น ไปมั่วกับผู้ชายคนอื่น? อย่าเอาโรคติดต่อกลับมาแพร่ให้พวกเรานะ!”
ชายในชุดสูทเนี้ยบกริบเดินออกมาอย่างช้าๆ เขาเบะปาก แววตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“แม่คะ หนูไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะคะ หนู…”
นาราน้ำตาคลอเบ้า พยายามจะอธิบาย
สมหญิงโกรธจนทนไม่ไหว พูดแทรกขึ้นมาว่า “หลักฐานก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ยังจะแก้ตัวอีกเหรอ? ไสหัวไป! นารา ฉันสมหญิงไม่มีลูกสาวที่ไม่รู้จักยางอายแบบนี้!”
บนชั้นสอง อลิซาใช้มือเท้าคางมองดูฉากนี้เหมือนกำลังดูละคร
แผนการสำเร็จ นารากำลังจะกลายเป็นคนไร้บ้าน ซึ่งเป็นไปตามที่เธอต้องการพอดี
นารามองแผ่นหลังที่เย็นชาเด็ดเดี่ยวของแม่ หัวใจเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีด
เธอลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรอีก ค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปเก็บของ
น้ำตาไหลรินลงมาอย่างเงียบเชียบ
พอเดินมาถึงหัวมุมบันไดชั้นสอง อลิซาก็ยืนขวางทางอยู่ตรงนั้น สองแขนกอดอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความขบขัน “โอ๊ย น้องสาวคนดี มานี่สิ ขอสัมภาษณ์หน่อย ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างจ๊ะ?”
นาราชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจในทันทีว่ากับดักในคืนนั้นเป็นฝีมือของคนที่เธอเรียกว่าพี่สาวมาสิบกว่าปี ความบริสุทธิ์ของเธอ หายไปในชั่วข้ามคืน
“เธอ! ทำไมต้องทำร้ายฉันแบบนี้?!” นาราโกรธจนแทบคลั่ง ดวงตาเบิกกว้าง ตวาดถาม
อลิซายกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา แววตาฉายแววอำมหิต “ทำไมเหรอ? คิดว่าฉันเห็นเธอเป็นน้องสาวที่ดีจริงๆ งั้นเหรอ?”
เธอหัวเราะ ในเสียงหัวเราะนั้นมีหนามแหลมซ่อนอยู่ เธอค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้นารา พูดด้วยเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคน “ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่แม่ไร้ยางอายของแกกับตัวถ่วงอย่างแกเข้ามาในบ้านฉัน แกทั้งสวยทั้งเรียนเก่ง เด็กผู้ชายกับครูทุกคนก็ชอบแก ส่วนฉันก็กลายเป็นลูกไล่ของแก ฉันเกลียดแก และเกลียดหน้าตาแบบนี้ของแกยิ่งกว่า!”
“ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่แกติดค้างฉัน” เสียงของอลิซาแหลมสูง ความอิจฉาริษยาราวกับอสรพิษที่เลื้อยพันอยู่บนใบหน้าของเธอ
“แต่สวรรค์ก็ไม่เคยทิ้งคนที่มีความตั้งใจ บอกให้แกรู้ก็ได้ รูปนั่นฉันเป็นคนจ้างคนไปถ่าย ส่งแกขึ้นเตียงผู้ชายก็เป็นฝีมือฉันเอง เป็นไงล่ะ เซอร์ไพรส์ไหม?”
“เธอ…”
นาราโกรธจนตัวสั่น กำหมัดแน่น จ้องมองใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความลำพองใจของอลิซาอย่างเอาเป็นเอาตาย ความโกรธในใจแทบจะแผดเผาเธอให้มอดไหม้
“อยากตบฉันเหรอ? เข้ามาสิ!”
อลิซายกมุมปากขึ้น ยื่นหน้าไปด้านข้างอย่างท้าทาย
แววตาของนาราแข็งกร้าวขึ้น มือยกขึ้นแล้วตบลงไปอย่างไม่ปรานี
“โอ๊ย! แกกล้าตบฉันจริงๆ เหรอ…”
อลิซากุมใบหน้า กรีดร้องพลางวิ่งหนีลงไปข้างล่าง ทั้งร้องไห้ทั้งตะโกน “คุณพ่อคะ ช่วยด้วย! มันตบหนู!”
ข้างล่าง พิชัยได้ยินดังนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตะโกนขึ้นไปบนชั้นสองว่า “นารา แกปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม! กล้ามาแตะต้องลูกสาวฉัน นังงูพิษเลี้ยงไม่เชื่อง”
พิชัยมองรอยแดงบนใบหน้าของลูกสาวสุดที่รัก ในใจรู้สึกสับสนปนเป ผิดหวังจนถึงที่สุด
“คุณพ่อคะ หนูเจ็บ…”
อลิซาซบหน้าลงในอ้อมกอดของพ่อ ทำท่าทางน่าสงสาร
พิชัยจ้องนาราอย่างโกรธเกรี้ยว ด่าว่า “ไสหัวไป! อย่ากลับมาที่นี่อีก! เห็นหน้าแกแล้วซวย!”
นาราขอบตาแดงก่ำ มองไปที่คุณแม่สมหญิง อ้าปากจะอธิบาย “แม่คะ จริงๆ แล้ว…”
ยังไม่ทันพูดจบ เสียง “เพียะ” ก็ดังขึ้น เป็นเสียงตบอีกฉาดที่ฟาดลงบนใบหน้าของเธอ ความเจ็บปวดแสบร้อนแผ่ซ่านไปในทันที
“ไสหัวไป! เดี๋ยวนี้! ทันที! เอาของของแกไปแล้วหายตัวไปซะ!” เสียงคำรามของพิชัยดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง
นารากุมใบหน้า ขอบตาแดงก่ำ จ้องมองภาพตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
คุณแม่สมหญิงกอดอลิซาไว้แน่น ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ราวกับว่าอลิซาคือลูกสาวที่เธอต้องปกป้องดูแล
หัวใจของเธอค่อยๆ ดิ่งลง เย็นยะเยือกไปถึงกระดูก
“แม่คะ... แม่ไม่คิดจะถามหนูหน่อยเหรอคะ ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น?”
เสียงของเธอแผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความดื้อรั้นที่ไม่ควรมองข้าม
ตั้งแต่เธอตามแม่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ เธอก็เป็นคนนอกมาโดยตลอด ในสายตาของแม่มีเพียงพ่อเลี้ยงและลูกสาวของเขาเท่านั้น
ในที่สุดนาราก็เข้าใจแล้วว่า บ้านหลังนี้ไม่เคยเป็นของเธอตั้งแต่แรกจนจบ
และเธอเป็นเพียงแค่แขกที่ผ่านทางมาเท่านั้น
“พ่อคะ... พ่ออยู่ที่ไหน?” เงาที่อ่อนโยนในใจของเธอผุดขึ้นมาอย่างเงียบๆ เมื่อตอนอายุสามขวบ พ่อของเธอหายตัวไปอย่างลึกลับระหว่างปฏิบัติภารกิจ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราว
วัยเด็กของเธอปราศจากการดูแลเอาใจใส่ของพ่อ
และแม่ก็แต่งงานใหม่อย่างรวดเร็ว
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ นาราหันหลังกลับ เดินออกจากประตูไปอย่างสิ้นหวังและหมดอาลัยตายอยาก
อลิซามองแผ่นหลังของนารา มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่แฝงด้วยความอาฆาต ในที่สุดเธอก็ไล่อีนังตัวเกะกะน่ารำคาญนี่ออกไปได้เสียที
…
ห้าปีต่อมา ณ สนามบินปีนัง
เธอเข็นรถเข็นกระเป๋าไป แล้วก็ชนเข้ากับคนคนหนึ่งดัง “ปัง!”
“โอ๊ย นี่เธอเดินยังไงของเธอเนี่ย? ตาบอดรึไง!” เสียงแหลมของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างหู
นารารีบขอโทษ “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ทันระวัง”
“นารา?” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เธอหันไปมอง เป็นพลอยนั่นเอง
“ทำไมเป็นเธอ?” พลอยทำหน้าประหลาดใจ
นาราขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาที่เพิ่งกลั้นไว้ก็ไหลออกมาอีกครั้ง “พลอย…”
“หลายปีมานี้ เธอไปอยู่ที่ไหนมา?” พลอยกอดเธอด้วยความสงสาร
นารายิ้มขมขื่น พลอยชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างครุ่นคิด “เรื่องของเธอ ฉันรู้หมดแล้วล่ะ อลิซานั่น! ฉันต้องไปคิดบัญชีกับมันให้ได้!”
นารารีบดึงเธอไว้ “พลอย มันผ่านไปแล้ว นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของฉัน เธออย่าเข้ามายุ่งเลย”
“เพียงแต่ว่าตอนนี้ อย่าเพิ่งบอกใครนะว่าเจอฉัน แล้วก็ข้อมูลในตู้เซฟที่ฉันเคยฝากเธอไว้ยังอยู่ใช่ไหม?” นาราขมวดคิ้วพูด
พลอยชะงักไปครู่หนึ่ง หรือว่าจะเป็นข้อมูลงานวิจัยที่นาราตามหามาตลอด?
เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งในใจ แล้วพยักหน้าตอบ “ฉันยังมีธุระ ต้องไปก่อนนะ” พูดไม่ทันขาดคำ คนก็รีบจากไปแล้ว
นารามองแผ่นหลังของพลอย รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่ก็บอกไม่ถูกว่าคืออะไร
“คุณนาราใช่ไหมครับ?”
นารามองอย่างสงสัย “หาฉันเหรอคะ? ใครคะ?”
ชายตรงหน้าทำหน้าจริงใจ “คุณปู่ให้ผมมารับคุณครับ!”
“คุณปู่ภาคิน? ท่านเป็นผู้ทรงอิทธิพลของปีนังเลยนะครับ ใครๆ ก็ต้องเคยได้ยินชื่อ!” น้ำเสียงของชายคนนั้นแฝงไปด้วยความเคารพยำเกรง
นาราเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในใจแอบคิดว่า ชื่อเสียงของคนที่รวยที่สุดในตระกูลเจริญทรัพย์ใครบ้างจะไม่รู้จัก? แต่หญิงสาวธรรมดาๆ อย่างเธอ จะไปเกี่ยวข้องกับผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นได้อย่างไร?
“ขอโทษนะคะ วันนี้ไม่สะดวก” เธอยิ้มบางๆ อย่างสุภาพและห่างเหิน
แต่ชายคนนั้นไม่ยอมแพ้ โบกมือขวางหน้าเธอไว้ แล้วหยิบรูปถ่ายออกมาจากกระเป๋าด้วยท่าทีจริงจัง “คุณนารา คนนี้น่าจะรู้จักนะครับ?”
หัวใจของนารากระตุกวูบ มือไวกว่าความคิด รับรูปมาพิจารณาอย่างละเอียด ใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นคือพ่อของเธอที่หายตัวไปหลายปี—กันต์ หลายปีมานี้ เธอตามหาไปทั่วทุกหนทุกแห่ง เพียงเพื่อเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ
“ตกลงค่ะ ฉันจะไปพบเขา” ในน้ำเสียงของเธอมีความสั่นเครือที่แทบจะสังเกตไม่เห็นซ่อนอยู่
“หม่ามี้ รอหนูด้วย!” ทันใดนั้น ร่างเล็กๆ ที่มีเสียงเจื้อยแจ้วก็วิ่งเข้ามา เป็นลูกชายสุดที่รักของนารานั่นเอง
เธอย่อตัวลงอย่างรวดเร็ว เช็ดเหงื่อบนหน้าผากของลูกชายอย่างอ่อนโยน “ดูสิ รีบซะจนเหงื่อท่วมตัวเลย”
จากนั้น เธอก็มองชายคนนั้นด้วยสายตาแน่วแน่แล้วพูดว่า “วันนี้ไม่สะดวกจริงๆ ค่ะ รบกวนคุณทิ้งที่อยู่ไว้ แล้ววันหลังฉันจะไปพบด้วยตัวเอง”
เจ้าตัวเล็กชะโงกหน้าออกมาอย่างสงสัย กะพริบตาโตๆ ถามว่า “หม่ามี้ เขาเป็นใครเหรอครับ?”
นารายิ้มบางๆ ไม่ได้ตอบโดยตรง เพียงแค่ลูบหัวเจ้าตัวเล็กแล้วเข็นรถต่อไป ในใจของเธอได้ตัดสินใจแล้ว
